JavaScript Library กับ JavaScript Framework ต่างกันอย่างไร และมีอะไรบ้าง

JavaScript Library

JavaScript Library และ JavaScript Framework เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันด้วยภาษา JavaScript โดยมีความแตกต่างกันดังนี้

JavaScript Library คือ ชุดของโค้ดฟังก์ชันหรือโมดูลที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้การเขียนโค้ด JavaScript ง่ายขึ้น โดยทั่วไปแล้ว Library จะมีฟังก์ชันหลายๆ อย่างที่ใช้งานได้ทันที และมักจะให้บริการสำหรับการจัดการกับ DOM, การเชื่อมต่อ API, การทำงานกับเวลา และฟังก์ชันอื่นๆ ที่ใช้งานบ่อยในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน

JavaScript Framework คือ ชุดของเครื่องมือที่มีโครงสร้างและวิธีการทำงานที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันด้วยภาษา JavaScript เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Framework จะมีความสามารถในการควบคุมกระบวนการทำงานของโปรแกรมอย่างละเอียด เช่น การจัดการกับสถานะแอปพลิเคชัน, การสร้างอินเทอร์เฟซผู้ใช้, การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล, การจัดการสิ่งแวดล้อมและฟังก์ชันอื่นๆ


JavaScript Library มีหลายตัวที่ใช้งานได้กว้างขวาง โดยมีบางตัวที่เป็นส่วนหนึ่งของ JavaScript Framework ด้วย ตัวอย่างของ JavaScript Library ที่นิยมใช้มากๆ ได้แก่

1. jQuery

jQuery เป็น JavaScript Library ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต โดยเฉพาะในช่วงเวอร์ชัน 1.x และ 2.x ซึ่งใช้งานได้กับเวอร์ชันเก่าของเบราว์เซอร์ และได้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2006 โดย John Resig โดยใช้ความสามารถของ JavaScript ในการจัดการกับ HTML DOM และเป็นตัวช่วยในการทำงานกับอินเตอร์แอคทีฟของผู้ใช้งาน เช่น การเรียก AJAX และการจัดการกับอีเวนต์ต่าง ๆ ของเว็บไซต์

ในปัจจุบัน jQuery ไม่ได้เป็นที่นิยมอย่างเดิม เนื่องจาก HTML DOM และ JavaScript ได้มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก เช่น การใช้งาน CSS Selector ในการเข้าถึงและจัดการกับ HTML DOM และมี JavaScript Framework อื่น ๆ ที่มีความสามารถในการจัดการกับอินเตอร์แอคทีฟของผู้ใช้งาน แต่ jQuery ยังคงมีการพัฒนาและการใช้งานอยู่บนหลาย ๆ เว็บไซต์และโปรเจกต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในการจัดการกับอีเวนต์ต่าง ๆ และการทำ AJAX ซึ่งยังคงเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์เบื้องต้น

2. Lodash

Lodash เป็น JavaScript Library ที่มีชื่อเสียงสูงสุดในอินเตอร์เน็ต เพราะมีฟังก์ชั่นอย่างมากมายที่ช่วยในการจัดการกับ Array, Object, String, Number, และ Function ใน JavaScript ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยจากข้อผิดพลาด

Lodash จะช่วยให้เราเขียนโค้ด JavaScript ได้อย่างสะดวกสบายและสั้นกว่า ด้วยฟังก์ชั่นต่าง ๆ เช่น forEach, map, filter, reduce, find, findIndex, includes, orderBy, groupBy, debounce, throttle และอื่น ๆ ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่สามารถช่วยในการจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย

Lodash ยังมีการสนับสนุนในการทำงานกับโมดูลของ Node.js และนอกจากนี้ยังมีการใช้งาน Lodash เป็นเครื่องมือในโปรเจกต์ที่ใช้ JavaScript Framework อื่น ๆ หรือไลบรารีต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ดังนั้น Lodash ยังคงเป็น JavaScript Library ที่สำคัญและได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการโปรแกรมเมอร์ทั่วโลก

3. Moment.js

Moment.js เป็น Library ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการจัดการกับวันที่และเวลาใน JavaScript และยังได้รับการใช้งานในโปรเจกต์ต่าง ๆ ทั้งในส่วนของ Backend และ Frontend

Moment.js เป็น JavaScript Library ที่ช่วยในการจัดการกับวันที่และเวลาใน JavaScript ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย

Moment.js มีฟังก์ชั่นที่ช่วยให้เราสามารถแปลงข้อมูลวันที่และเวลาได้อย่างง่ายดาย และมีการรองรับภาษามากมาย ทำให้เราสามารถแสดงผลวันที่และเวลาในรูปแบบต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการ

นอกจากนี้ Moment.js ยังมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่ช่วยในการจัดการกับวันที่และเวลา เช่น การหาความแตกต่างของเวลา, การจัดรูปแบบวันที่และเวลา, การทำงานกับ Timezone, และอื่น ๆ อีกมากมาย

4. Axios

Axios เป็น Library ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการจัดการกับ HTTP request และ response ใน JavaScript และได้รับการนำไปใช้งานในโปรเจกต์ต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย

Axios เป็น JavaScript Library ที่ช่วยในการส่งข้อมูลแบบ HTTP request ไปยัง server และรอรับ response กลับมาจาก server ได้อย่างง่ายดาย

Axios มี API ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งรองรับการส่ง request ไปยัง server โดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น GET, POST, PUT, DELETE, และอื่น ๆ ซึ่งให้เราสามารถส่ง request ไปยัง server และรับ response กลับมาได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ Axios ยังมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่ช่วยในการจัดการกับ request และ response เช่น การส่ง request พร้อมกับตัวแปร, การจัดรูปแบบข้อมูล response, การใช้งาน Interceptors และอื่น ๆ อีกมากมาย

5. D3.js

D3.js ยังเป็น JavaScript library ที่ได้รับความนิยมสูงในการจัดการและแสดงผลข้อมูลแบบกราฟิก และได้รับการนำไปใช้งานในโปรเจกต์ต่างๆ อย่างแพร่หลาย

D3.js (Data-Driven Documents) เป็น JavaScript library ที่ใช้สำหรับการจัดการและแสดงผลข้อมูลแบบกราฟิก (data visualization) ในเว็บไซต์

D3.js ช่วยให้เราสามารถสร้างกราฟ แผนภูมิ และผังความสัมพันธ์อื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการแสดงผลข้อมูลที่ซับซ้อนและเป็นตัวเลข

โดย D3.js มี API ที่ใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่นการสร้างตัวกราฟและเลือก DOM element ที่จะแสดงผลข้อมูล การกำหนดสีและขนาดของกราฟ การจัดการข้อมูลและการอัปเดตแบบ real-time และอื่นๆ

6. Underscore.js

Underscore.js เป็น JavaScript library ที่มีไว้สำหรับช่วยในการจัดการข้อมูลและเขียนโค้ด JavaScript อย่างสะดวกสบาย

Underscore.js มีฟังก์ชันหลายอย่างที่มีประโยชน์ในการจัดการข้อมูล ได้แก่การจัดการ Array, Object, Function และ String อีกทั้งยังมีฟังก์ชันที่ช่วยในการจัดการกับข้อมูลอย่างมากมาย เช่น map, reduce, filter, pluck, groupBy และ sortBy เป็นต้น

นอกจากนี้ Underscore.js ยังสามารถใช้งานได้ร่วมกับ jQuery และ Backbone.js ในการพัฒนาเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งทำให้การเขียนโค้ดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

7. Handlebars.js

Handlebars.js เป็น JavaScript library ที่มีไว้สำหรับสร้างและจัดการ template ของเว็บไซต์

Handlebars.js ช่วยให้เราสามารถสร้าง template ได้อย่างสะดวกสบาย และนำไปใช้กับข้อมูลต่างๆ เพื่อแสดงผลในเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย

Handlebars.js มีฟังก์ชันหลายอย่างที่ช่วยให้เราสร้าง template ได้อย่างสะดวก ได้แก่การใช้งานตัวแปร, การทำซ้ำ, การใช้งานเงื่อนไข, การเรียกใช้งาน partial templates, การใช้งาน helper functions เพื่อแก้ไขและจัดการข้อมูล และอื่นๆ

นอกจากนี้ Handlebars.js ยังสามารถใช้งานได้ร่วมกับ JavaScript libraries อื่นๆ เช่น jQuery, Backbone.js, Ember.js, AngularJS เป็นต้น ซึ่งช่วยให้การพัฒนาเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นด้วย Handlebars.js เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

8. Immutable.js

Immutable.js เป็น JavaScript library ที่ช่วยให้เราสร้างและจัดการกับข้อมูลที่มีคุณสมบัติเป็น immutable (ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้) อย่างง่ายดาย

Immutable.js ช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงข้อมูลไม่ตรงคาบและสร้างประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูล เพราะไม่จำเป็นต้องทำการคัดลอก (copy) ข้อมูลทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่ต้องใช้หน่วยความจำเยอะเพื่อเก็บข้อมูลเวอร์ชันก่อนหน้า

Immutable.js มีฟังก์ชันหลายอย่างที่ช่วยให้เราจัดการกับข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ Map, List, Set, Stack, Record และ OrderedMap ซึ่งเป็นโครงสร้างข้อมูลที่ใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง

นอกจากนี้ Immutable.js ยังช่วยให้เราป้องกันการเปลี่ยนแปลงค่าของข้อมูลโดยไม่ต้องใช้คำสั่ง throw ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ต้องการหรือการแก้ไขค่าข้อมูลโดยไม่ต้องการที่ไม่จำเป็น

9. Chart.js

Chart.js เป็น JavaScript library ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างกราฟและแผนภูมิได้อย่างง่ายดายและสวยงาม โดยสามารถใช้งานได้บนหลาย platform เช่น เว็บไซต์ และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูล สร้าง dashboard และรายงานต่างๆ

Chart.js มีการรองรับชนิดของกราฟและแผนภูมิที่หลากหลาย เช่น Bar Chart, Line Chart, Radar Chart, Pie Chart, Doughnut Chart, Polar Area Chart, Bubble Chart และ Scatter Chart ซึ่งสามารถปรับแต่งสี ขนาดและรูปแบบต่างๆ ได้ตามต้องการ

การใช้งาน Chart.js สามารถทำได้ง่ายด้วยการเรียกใช้งานไฟล์ JavaScript ของ Chart.js และกำหนดค่าต่างๆ ของกราฟหรือแผนภูมิที่ต้องการแสดงผล โดยไม่จำเป็นต้องใช้งานกับตัวภาษา JavaScript framework ใดๆ ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานและสามารถใช้ได้กับโปรเจกต์ต่างๆ โดยที่ไม่ต้องสนใจถึงประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้งาน แต่ยังสามารถสร้างกราฟและแผนภูมิได้ในรูปแบบที่สวยงาม และเป็นมาตรฐานของการแสดงผลข้อมูลด้วยกราฟและแผนภูมิ

fusejs javascript library
Fuse.js

10. Fuse.js

Fuse.js เป็น JavaScript library ที่ใช้สำหรับการค้นหาข้อมูลใน Array อย่างรวดเร็ว โดยมีการใช้งานแบบ fuzzy search (การค้นหาที่ไม่ตรงกันอย่างยิ่ง) เช่น การค้นหาคำผิด การใส่สระ เป็นต้น

Fuse.js มีความสามารถในการค้นหาที่หลากหลาย เช่น การค้นหาด้วยเงื่อนไขต่างๆ เช่น จำนวนตัวอักษรที่ตรงกัน การค้นหาในภาษาอื่นๆ การค้นหาเหมือนกันในหลายๆ ภาษา การค้นหาแบบไหนที่ต้องการผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับตัวอักษรที่กำหนด และอื่นๆ

Fuse.js มี API ที่ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับการค้นหาในข้อมูลขนาดใหญ่ โดยสามารถกำหนดตัวแปรที่ต้องการค้นหา และเพื่อนบ้านของตัวแปรที่ต้องการค้นหา และระบุค่าที่ต้องการค้นหาและค่าที่จะถูกค้นหา

Fuse.js ยังสามารถทำงานร่วมกับโมดูลแสดงผลข้อมูลต่างๆ เช่น React หรือ Angular และมีการใช้งานมากในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะเว็บแอปพลิเคชันที่มีการค้นหาข้อมูลใน Array อย่างบ่อยครั้ง


JavaScript Framework เป็นส่วนหนึ่งของ JavaScript Library แต่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งช่วยในการสร้างเว็บแอปพลิเคชันไซต์แบบ single-page application หรือ SPA ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างของ JavaScript Framework ที่นิยมใช้มากๆ ได้แก่

1. React.js

React.js เป็น JavaScript library ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Facebook ซึ่งถูกใช้งานอย่างแพร่หลายเพื่อสร้าง User Interface (UI) และ User Experience (UX) ที่สวยงามและมีประสิทธิภาพสูงในเว็บแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะเว็บแอปพลิเคชันที่มีการอัพเดตข้อมูลแบบ real-time หรือการใช้งาน API ที่ซับซ้อน โดย React.js มีความสามารถในการจัดการสถานะของแอปพลิเคชันได้ดี โดยสามารถเขียน Component และเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

React.js ยังมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยสามารถใช้งานได้ร่วมกับหลายภาษาโปรแกรมมิ่งอื่น ๆ เช่น TypeScript, JavaScript, CSS, HTML และยังสามารถใช้งานได้กับหลาย Framework และ Library อื่น ๆ เช่น Redux, MobX, GraphQL ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นและสามารถเข้ากับส่วนอื่น ๆ ของแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ React.js ยังเป็น open source ซึ่งช่วยให้มีการพัฒนาต่อยอดและอัพเดทเวอร์ชันใหม่ ๆ อยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมี Community ที่ใหญ่และกระจายทั่วโลกทำให้การเรียนรู้และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ มีความสะดวกขึ้นอีกด้วย

2. Angular.js

Angular.js เป็น JavaScript framework ที่ใช้สำหรับสร้างเว็บแอปพลิเคชัน ถูกพัฒนาโดย Google และเป็น framework ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน โดยมีความเหมาะสมสำหรับการพัฒนา Single-page application (SPA) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ทำงานบนหน้าเว็บเพียงหน้าเดียว โดยไม่ต้องโหลดหน้าเว็บใหม่ทุกครั้งที่มีการทำงาน

Angular.js มี feature ที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ dependency injection, two-way data binding, directives, services, routing, และการทำงานกับ API แบบ asynchronous ที่มีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ Angular.js ยังมี Angular CLI (Command Line Interface) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การสร้างโครงสร้างของโปรเจค Angular ง่ายขึ้น

อีกทั้ง Angular.js ยังรองรับการทำงานร่วมกับ TypeScript ที่เป็นภาษาเขียน JavaScript ที่เพิ่มเติมความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันทำให้มีความสามารถในการจัดการกับ error และ type-checking ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ทำให้ Angular.js เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับนักพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ต้องการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อน

3. Vue.js

Vue.js เป็น JavaScript framework ที่ได้รับความนิยมในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน เป็น open-source และถูกพัฒนาโดย Evan You โดยสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดย Vue.js เน้นการสร้าง User Interface แบบ reactive หรือ หมายถึงการสร้าง UI ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในโปรแกรม

Vue.js มี feature ที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ directives, computed properties, watchers, methods, และ event handling ซึ่งช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถควบคุมการทำงานของ UI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Vue.js ยังมี Vuex ซึ่งเป็น state management library ที่ช่วยให้การจัดการ state ภายในแอปพลิเคชันเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกทั้ง Vue.js ยังเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการทำงานร่วมกับ TypeScript ที่เป็นภาษาเขียน JavaScript ที่เพิ่มเติมความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันทำให้มีความสามารถในการจัดการกับ error และ type-checking ที่ดีขึ้น

4. Next.js

Next.js เป็น JavaScript framework สำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันแบบ server-side rendering ที่เขียนโดยภาษา JavaScript โดย Next.js ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้นโดยให้เราสามารถสร้างเว็บแอปพลิเคชันของเราด้วย React ได้อย่างรวดเร็ว และ Next.js ยังช่วยให้เราสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยการทำ server-side rendering ซึ่งช่วยให้เว็บแอปพลิเคชันโหลดได้เร็วขึ้น และสามารถทำ SEO ได้ดีขึ้นเพราะเราสามารถทำการ render หน้าเว็บแอปพลิเคชันใน server ได้ก่อนจะส่งไปแสดงผลใน browser ให้กับผู้ใช้

Next.js ยังมี feature อื่นๆ ที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันง่ายขึ้น เช่น การสร้าง static site generation ที่ช่วยให้เราสร้างเว็บแอปพลิเคชัน static site ได้อย่างง่ายดาย และการ hot reloading ที่ช่วยให้เราสามารถดูผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงในโค้ดได้ทันที

นอกจากนี้ Next.js ยังมี integration กับ GraphQL, TypeScript, CSS-in-JS libraries, และการทำ API routes ที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. Ember.js

Ember.js เป็น JavaScript framework ที่ใช้สำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน โดยใช้สถาปัตยกรรม MVC (Model-View-Controller) และมีการจัดการ state แบบ two-way binding ที่ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงของ state ใน application สามารถสะท้อนอย่างแม่นยำใน View ได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันใน Ember.js มีความรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น

Ember.js ยังมี feature อื่นๆ ที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันง่ายขึ้น เช่น การทำ data management โดยใช้ Ember Data ที่ช่วยให้การจัดการกับ data model และการเชื่อมต่อ API ได้ง่ายขึ้น และการใช้งาน Template ในการสร้าง UI ที่สามารถ reuse ได้ง่าย

นอกจากนี้ Ember.js ยังมี Addons ต่างๆ ที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันง่ายขึ้น เช่น Addons สำหรับการทำ routing, การจัดการกับการเชื่อมต่อ Socket, การทำ localization และ Addons อื่นๆ อีกมากมาย

ด้วยความสามารถของ Ember.js ในการจัดการ state และการจัดการกับ data model ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง

6. Backbone.js

Backbone.js เป็น JavaScript framework ที่ใช้สำหรับการสร้างเว็บแอปพลิเคชันแบบ Single-Page Application หรือ SPA ที่ใช้แนวคิดของ MVC (Model-View-Controller) ในการจัดการโครงสร้างของแอปพลิเคชัน ซึ่งช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ใช้ Backbone.js มีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

Backbone.js ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถจัดการกับข้อมูลและส่วนต่างๆ ของแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย โดยมีโมเดล (Model) ที่ใช้เก็บข้อมูลและมีการจัดการข้อมูล เช่น CRUD operations (Create, Read, Update, Delete) และอัพเดตข้อมูลโดยอัตโนมัติ มีวิว (View) ที่ใช้แสดงผลข้อมูลและมีการจัดการกับข้อมูลในส่วนต่างๆ และคอนโทรลเลอร์ (Controller) ที่ใช้จัดการกับการทำงานของแอปพลิเคชัน

นอกจากนี้ Backbone.js ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ เช่น Event-driven programming, Dependency management และ Routing ซึ่งช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันด้วย Backbone.js มีความสะดวกและสามารถทำได้ไว้ดีขึ้น

7. Svelte.js

Svelte.js เป็น JavaScript framework ที่ใช้เทคโนโลยีแบบ Compiler ในการสร้างเว็บแอปพลิเคชันซึ่งเป็นความแตกต่างของ Svelte จากเฟรมเวิร์กเว็บอื่น ๆ ที่ใช้วิธีการนำเสนอ DOM และอัปเดตการแสดงผลด้วยการสร้าง HTML ใหม่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง

Svelte.js ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างเว็บแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามหลักการแบบประหยัดทรัพยากร โดย Svelte.js จะแปลงโค้ด JavaScript ให้เป็นโค้ดที่สามารถทำงานได้ในหลายเว็บเบราว์เซอร์ และสร้าง DOM แบบเร็วกว่าเว็บเฟรมเวิร์กอื่น ๆ

นอกจากนี้ Svelte.js ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น Reactive Declarations ที่ช่วยให้สามารถสร้างตัวแปรที่มีผลกับ DOM ได้โดยอัตโนมัติ และเป็นไปตามหลักการของ Reactive Programming ซึ่งช่วยให้การเขียนโค้ดเป็นแบบประหยัดทรัพยากร และ Component ที่ช่วยให้สามารถสร้าง UI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถ reuse ได้ง่าย

สุดท้ายนี้ Svelte.js เป็นเฟรมเวิร์กเว็บที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในโลกเว็บ โดยเฉพาะในงานพัฒนาเว็บไซต์ที่มีการต้องการ

8. Meteor.js

Meteor.js เป็น JavaScript framework ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างเว็บแอปพลิเคชันได้ด้วยความเร็วและความสะดวกสบาย โดย Meteor.js มีการส่งเสริมการพัฒนาแบบ Full-stack ซึ่งหมายความว่าจะมีการรวมฝั่ง Front-end และ Back-end ไว้ในเฟรมเวิร์กเดียวกัน

Meteor.js มีคุณสมบัติที่มากมายเพื่อช่วยให้การพัฒนาเว็บไซต์ง่ายขึ้น ซึ่งรวมถึง:

  • Reactive Programming: ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้าง UI ที่มีการอัปเดตโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเพิ่มเติม
  • Real-time Communication: ช่วยให้เว็บไซต์สามารถส่งข้อมูลแบบ real-time ระหว่างผู้ใช้งานได้
  • Full-stack Integration: ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างฝั่ง Front-end และ Back-end ไว้ในเฟรมเวิร์กเดียวกัน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการจัดการและพัฒนา

นอกจากนี้ Meteor.js ยังสนับสนุนการใช้งานของบทความและเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างเว็บแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว และมีชุดคำสั่งที่ใช้งานง่าย ทำให้ผู้พัฒนาสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

9. Aurelia.js

Aurelia.js เป็น JavaScript framework สำหรับพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่เน้นการพัฒนาแบบ Component-Based ซึ่งช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างและจัดการ Component ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Aurelia.js ยังมีความยืดหยุ่นสูง และสามารถเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีต่างๆได้อย่างราบรื่น

Aurelia.js มีคุณสมบัติที่น่าสนใจต่อไปนี้:

  • Component-Based: สามารถสร้าง Component ได้อย่างสะดวก และจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Two-Way Data Binding: ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้าง UI ที่สามารถแสดงผลและเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้แบบ real-time
  • MVVM Architecture: ช่วยให้การจัดการกับโค้ดและข้อมูลได้สะดวกและเป็นระเบียบ
  • Dependency Injection: ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับ dependencies ของโมดูลและ Component ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • CLI Tools: มีเครื่องมือ CLI ที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างโครงสร้างโปรเจกต์ และจัดการรันโปรแกรมได้โดยง่าย

นอกจากนี้ Aurelia.js ยังสนับสนุนการใช้งานของการทำงานแบบ Lazy-Loading ซึ่งช่วยลดเวลาโหลดและประสิทธิภาพของเว็บแอปพลิเคชันได้มากขึ้น และสามารถใช้งานได้กับหลายภาษาโปรแกรมมิ่งได้อย่างยืดหยุ่น

10. Knockout.js

Knockout.js เป็น JavaScript framework สำหรับพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ใช้ MVVM (Model-View-ViewModel) architecture ซึ่งช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถจัดการกับ UI และข้อมูลได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Knockout.js มีคุณสมบัติที่น่าสนใจต่อไปนี้:

  • Two-way data binding: ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถเชื่อมต่อและอัพเดทข้อมูลของ UI และ ViewModel ได้แบบ real-time โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเพิ่มเติม
  • Dependency tracking: ช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลและ UI อัตโนมัติ และอัพเดทเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลงเท่านั้น ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการประมวลผลข้อมูล
  • Extensibility: สามารถเขียน custom binding และ custom behaviors ของ UI ได้ตามต้องการ
  • Templating: ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้าง template ของ UI ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และสามารถ reuse ได้
  • Virtual elements: ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถเขียนโค้ด HTML ที่มี logic ได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ Knockout.js ยังมีการสนับสนุนการทำงานบน browsers ที่เก่าและมีประสิทธิภาพดี และมี community ที่ใหญ่กว่า 200 contributors ทั่วโลกที่ช่วยกันพัฒนาเฟรมเวิร์กนี้ให้มีความสมบูรณ์และน่าใช้งานมากขึ้น

โดย ReactJS, AngularJS, และ VueJS เป็น Framework ที่ได้รับความนิยมอย่างมากและถูกนำมาใช้งานในโครงการที่ใหญ่โต อื่น ๆ ตามมาเป็นลำดับถัดไปโดยทั่วไปแล้ว Framework จะช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันด้วย JavaScript นั้นง่ายขึ้นและมีความเร็วในการโหลดเพจได้ดีกว่าการพัฒนาด้วย JavaScript เชิงลึก (Vanilla JavaScript)