จ้างทำเว็บไซต์ที่ไหนดี ทำเว็บไซต์บริษัท ธุรกิจ ต้องรู้อะไรบ้าง

จ้างทำเว็บไซต์ที่ไหนดี

เมื่อเริ่มอยากมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง คนส่วนใหญ่มักมีคำถามมากมาย เช่น จ้างทำเว็บไซต์ใช้งบเท่าไร จ้างทำเว็บไซต์ที่ไหนดี จะจ้างบริษัท จ้างฟรีแลนซ์ จ้าง Agency หรือ ทำเว็บไซต์เอง และจ้างทำเว็บไซต์ต้องรู้อะไรบ้าง แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจทางไหนสิ่งที่ต้องพิจารณาและให้ความสำคัญ คือ ก่อนจ้าง หรือ ทำเว็บไซต์เองต้องรู้อะไรบ้าง

จ้างทำเว็บไซต์ที่ไหนดี

การเลือกบริษัทฟรีแลนซ์ หรือ Agency ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับบริการและความต้องการของเรา เพราะมีบริการและเครื่องมือสร้างเว็บไซต์หลายประเภท ที่มีประสิทธิภาพหรือความสะดวกในการใช้งาน บริษัทที่มีบริการออกแบบเว็บไซต์ มีทั้งมืออาชีพที่เชี่ยวชาญและคุณภาพที่ต่างกัน บริษัทที่มีบริการออกแบบเว็บไซต์ มีหลายที่ เช่น Fastwork.co, Upwork, Freelancer, Freelance Bay, Fiverr หรือ Thai Freelance Agency ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาเว็บออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และมีนักพัฒนาเว็บไซต์จำนวนมากให้เลือก ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า แต่ก่อนที่จะเลือกบริษัทหรือผู้พัฒนาเว็บไซต์ ควรตรวจสอบความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ โดยดูจากผลงานที่ผ่านมาและอ่านรีวิวจากลูกค้าที่เคยใช้บริการ และสามารถค้นหาบริษัทหรือนักพัฒนาเว็บไซต์ได้ด้วยการค้นหาจาก Google หรือติดต่อผู้ให้บริการออกแบบเว็บไซต์จากเพื่อนและคนรู้จักที่เคยใช้บริการออกแบบเว็บไซต์

ทำเว็บไซต์บริษัท ธุรกิจ ต้องรู้อะไรบ้าง

การจ้างคนทำเว็บไซต์เป็นการลงทุนที่สำคัญสำหรับธุรกิจ แล้วเราควรรู้อะไรบ้างก่อนจะเริ่มต้นการจ้างคนทำเว็บไซต์

1. วัตถุประสงค์ในการสร้างเว็บไซต์

ต้องการสร้างเว็บไซต์เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าเพื่อเป็นแพลตฟอร์มแบ่งปันข้อมูล หรือสร้างขึ้นเพื่อภาพลักษณ์ที่สำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กรหรือบริษัท เป็นต้น

มีเว็บไซต์ประเภทไหนบ้าง

  • เว็บไซต์ขายสินค้า (E-Commerce website)
  • เว็บบล็อก (Blog Website)
  • เว็บไซต์เพื่อความบันเทิง (Entertainment website)
  • เว็บไซต์ชุมชน (Community/Forum Website)
  • เว็บไซต์ส่วนตัว (Personal website)
  • เว็บไซต์องค์กร บริษัท (Corporate website)
  • เว็บไซต์การศึกษา (Education website)
  • เว็บไซต์องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร (Non-profit organization website)
  • เว็บไซต์แหล่งค้นหาข้อมูล (Directory website)
  • เว็บแอปพลิเคชั่น (Web Application)

ความเข้าใจในวัตถุประสงค์จะช่วยให้สร้างความเข้าใจกับผู้ทำเว็บไซต์และช่วยให้งานเป็นไปได้ตามแผนที่วางไว้

2. งบประมาณ

กำหนดงบประมาณงานที่จะสร้างเว็บไซต์ และต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างผู้พัฒนาเว็บไซต์และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าโดเมนและการเช่าโฮสติ้ง ธีมและปลั๊กอิน เป็นต้น

โดเมน คืออะไร?
โดเมน (Domain) คือ ชื่อเว็บไซต์หรือที่อยู่ของเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต เช่น www.example.com โดเมนนี้จะเป็นชื่อที่ใช้ระบุสิ่งที่ต้องการให้แสดงบนเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์ชื่อโดเมนในแถบที่อยู่บนเว็บเบราว์เซอร์ เว็บเบราว์เซอร์จะแสดงเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับโดเมนนั้นๆ ขึ้นมาให้ดูและใช้งานได้ตามปกติ

โฮสติ้ง คืออะไร
โฮสติ้ง (Hosting) คือ การให้บริการเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลและการให้บริการเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโฮสต์เว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต โดยที่ผู้ให้บริการโฮสติ้งจะจัดเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของตนเองและให้บริการให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเว็บไซต์นั้นได้ โดยโฮสติ้งมีหลายประเภท เช่น shared hosting, VPS hosting, dedicated hosting ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปในการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการโฮสต์เว็บไซต์

ธีม คืออะไร
ธีม (Theme) คือชุดคำสั่งที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนรูปแบบหน้าตาของเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน ธีมจะประกอบด้วยไฟล์ CSS, JavaScript, และไฟล์รูปภาพต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขรูปแบบหน้าตาโดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดหลักช่วยให้การจัดการรูปแบบและการปรับแต่งหน้าตาง่ายขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นให้ดูดีและมีประสิทธิภาพ

ปลั๊กอิน คืออะไร
ปลั๊กอิน (Plugin) คือโปรแกรมเสริมที่ใช้เพิ่มความสามารถให้กับโปรแกรมหลัก ทำให้เราสามารถปรับแต่งโปรแกรมได้ตามต้องการ เช่น ปลั๊กอินเพิ่มความเร็วในการเปิดหน้าเว็บ ปลั๊กอินที่มีความสามารถในการปรับแต่ง SEO ปลั๊กอินที่ช่วยป้องกันเว็บไซต์จากการโจมตีและการตรวจสอบช่องโหว่ สามารถดาวน์โหลดปลั๊กอินมาติดตั้งกับโปรแกรมหลักได้ง่ายๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานโปรแกรม

3. สำรวจตลาดและงานที่คล้ายกัน

การสำรวจตลาดและงานที่คล้ายกันเป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผนการทำธุรกิจหรือโครงการใหม่ๆ มีขั้นตอนอะไรบ้าง

  • กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ทางการตลาด – ในขั้นตอนนี้ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายของผู้ใช้สินค้าหรือบริการของเรา เช่น กลุ่มอายุ 18-25 ปีที่มีความต้องการเสื้อผ้าสไตล์เกาหลี หรือกลุ่มผู้ใช้บริการส่งของที่ต้องการความสะดวกสบายในการสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้า
  • วิเคราะห์และวางแผนตลาด – ในขั้นตอนนี้ต้องวิเคราะห์ผู้ใช้บริการในกลุ่มเป้าหมาย โดยพิจารณาความต้องการและความสนใจของกลุ่มนี้ และวิเคราะห์ตลาดโดยรวม เช่น คู่แข่งที่เป็นที่นิยมของผู้ใช้บริการในกลุ่มเป้าหมายของเรา หรืองานที่คล้ายกันที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนี้
  • ศึกษางานที่คล้ายกัน – ในขั้นตอนนี้ควรศึกษางานที่คล้ายกันหรืองานที่เราสนใจ โดยศึกษาและวิเคราะห์ธุรกิจของโครงการนั้นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ให้ วิธีการขายและการตลาด เป้าหมายกลุ่มลูกค้า เป็นต้น

4. ค้นหาผู้พัฒนาที่เหมาะสม

ค้นหาผู้พัฒนาที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เหมาะสมกับงานของเรา เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อศึกษาทักษะ ต้องคิดอย่างละเอียดถึงประสิทธิภาพ และควรพิจารณาอะไรบ้าง

  • ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของบริษัทหรือผู้รับจ้าง ควรเลือกบริษัทหรือผู้รับจ้างที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาเว็บไซต์และมีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจ
  • ผลงานที่ผ่านมา ควรตรวจสอบผลงานที่ผ่านมาของบริษัทหรือผู้รับจ้าง เพื่อตระหนักถึงคุณภาพและความสามารถของบริษัทหรือผู้รับจ้างในการพัฒนาเว็บไซต์
  • ตรวจสอบความพร้อมในการให้บริการ ด้วยการติดต่อสอบถาม หรือตรวจสอบเว็บไซต์ของบริษัทหรือผู้รับจ้างว่ามีการให้บริการหลังการขายและการดูแลลูกค้าอย่างไรบ้าง
  • การระบุงบประมาณ ควรตั้งงบประมาณในการจ้างพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้บริษัทหรือผู้รับจ้างสามารถวางแผนและเสนอราคาได้อย่างเหมาะสม
  • ความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร ควรเลือกบริษัทหรือผู้รับจ้างที่มีการติดต่อสื่อสารสะดวกและรวดเร็ว เพื่อให้สามารถสื่อสารและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และมีการให้บริการฝึกอบรมและคำแนะนำในการใช้งานหลังจากได้รับบริการเว็บไซต์แล้ว

5. ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย

ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการพัฒนาเว็บไซต์ เพราะผู้ใช้งานมักมีข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลที่สำคัญอยู่บนเว็บไซต์ ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัย เช่น SSL (Secure Sockets Layer) และการเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) เป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันการแฮกเว็บไซต์หรือการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังควรใช้โมดูลหรือเครื่องมือเพิ่มเติม เช่น Web Application Firewall (WAF) เพื่อป้องกันการโจมตีต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีกด้วย

การควบคุมความปลอดภัยของเว็บไซต์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจและการใช้งานเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน การใช้งาน HTTPS สำหรับการเชื่อมต่อและการส่งข้อมูลเป็นการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีสามารถอ่านหรือแก้ไขข้อมูลที่ถูกส่งระหว่างเว็บไซต์กับผู้ใช้งานได้ การอัพเดตระบบป้องกันไวรัสและการป้องกันการโจมตีต่างๆ เช่นการโจมตีด้วย SQL injection, Cross-site scripting (XSS) เป็นต้น จะช่วยลดความเสี่ยงที่เว็บไซต์จะถูกโจมตีและสูญเสียข้อมูลของผู้ใช้งานได้ ดังนั้น ควรดูแลรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อความเชื่อถือของผู้ใช้งานและการดำเนินธุรกิจของเรา

6. เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์

การเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์มีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากผู้ใช้งานมักมีความไม่พอใจเมื่อต้องรอนานเพื่อโหลดเว็บไซต์ เราจึงควรใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ เช่น การใช้ CDN (Content Delivery Network) นอกจากการใช้ CDN และการบีบอัดไฟล์ ยังสามารถใช้เทคนิคอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เช่น

  • การเลือกใช้เว็บโฮสต์ที่มีความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ โดยเลือกใช้เว็บโฮสต์ที่มีเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้เคียงกับผู้เข้าชม เพื่อลดเวลาในการโหลด
  • การลดขนาดไฟล์รูปภาพ โดยใช้เครื่องมือในการบีบอัดรูปภาพ เพื่อลดขนาดไฟล์ และใช้รูปภาพที่มีขนาดเหมาะสมกับการแสดงผลบนหน้าเว็บไซต์
  • การใช้งาน gzip compression: การบีบอัดข้อมูลก่อนส่งไปยังผู้ใช้งาน เช่น ไฟล์ CSS, JavaScript และ HTML เพื่อลดขนาดของไฟล์และเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
  • การใช้ caching: การ caching เป็นการเก็บไฟล์ที่เป็นส่วนของหน้าเว็บไซต์ไว้ในหน่วยความจำของเซิร์ฟเวอร์หรือในหน่วยความจำของผู้ใช้งาน เพื่อลดเวลาในการโหลดหน้าเว็บไซต์ในครั้งต่อไป
  • การปรับแต่งการโหลดหน้าเว็บไซต์โดยใช้เทคนิค AJAX โดยใช้ Javascript เพื่อโหลดเนื้อหาเพิ่มเติมเมื่อผู้ใช้เลื่อนลงไปยังส่วนล่างของหน้าเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการโหลดเว็บไซต์โดยไม่ต้องโหลดหน้าเว็บไซต์ใหม่

7. การทำ SEO (Search Engine Optimization)

การทำ SEO เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำเว็บไซต์ให้ปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google โดยการทำ SEO จะประกอบไปด้วยหลายองค์ประกอบ มีอะไรบ้าง

  • การเขียนเนื้อหา: เนื้อหาที่มีคุณภาพและเข้าใจง่ายมีความสำคัญอย่างมากในการทำ SEO ดังนั้นควรเขียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของเรา และใช้คำค้นหาที่เหมาะสมในเนื้อหา
  • การเขียน URL: ที่สื่อความหมายและเข้าใจง่ายมีประโยชน์ในการทำ SEO ดังนั้น ควรเขียน URL ที่สื่อความหมายและใช้คำค้นหาที่เหมาะสม
  • Meta Tag: เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าหน้าเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาอะไร ดังนั้นควรใช้ Meta Tag อย่างเหมาะสมเพื่อช่วยในการทำ SEO
  • การใช้รูปภาพ: การใช้รูปภาพและมีขนาดเหมาะสม จะช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น และช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเว็บไซต์ มีเนื้อหาอะไร
  • การใช้ Backlink: การให้เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์เรากับหน้าเว็บไซต์อื่นๆ จะมีความเกี่ยวข้องหรือเป็นที่สนใจของเนื้อหาในเว็บไซต์ แถมช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของเราในสายตาของเครื่องมือค้นหา

8. การรักษาและดูแลเว็บไซต์

การดูแลและบำรุงรักษาเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพและความเสถียรของเว็บไซต์ ดังนั้นควรมีแผนการดูแลและบำรุงรักษาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง มีอะไรบ้าง

  • การสำรองข้อมูล: ควรมีการสำรองข้อมูลของเว็บไซต์เป็นประจำ เพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูลที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือความผิดพลาดของระบบ สามารถใช้บริการสำรองข้อมูลในคลาวด์หรือสร้างสำรองข้อมูลด้วยตัวเองได้
  • การปรับแต่งและอัพเดต: ควรปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน และควรอัพเดตตลอดเวลาเมื่อมีการปล่อยอัพเดตหรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย
  • การดูแลรักษาระบบ: ควรมีการตรวจสอบระบบเพื่อตระหนักถึงปัญหาและช่องโหว่ของระบบ รวมถึงตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์และการตอบสนองของผู้ใช้งาน
  • การตรวจสอบการใช้งาน: ควรตรวจสอบการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อตระหนักถึงปัญหาและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน เช่น การเข้าถึงไม่ได้ การเปิดโหมดผู้อ่านหน้าเว็บที่ไม่สามารถแสดงผลได้ถูกต้อง การใช้งานไม่เหมือนกับเวอร์ชั่นเดิม การเข้าถึงข้อมูลที่ผิดพลาด ฯลฯ การตรวจสอบการใช้งานจะช่วยให้สามารถรับรู้ปัญหาและแก้ไขปัญหาได้ทันที นอกจากนี้ การเช็คการใช้งานยังช่วยให้เข้าใจได้ว่าผู้ใช้งานมีความต้องการอะไรและมีประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

9. การวัดและวิเคราะห์ผลของเว็บไซต์

การวัดและวิเคราะห์ผลเป็นสิ่งที่สำคัญในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น โดยจะต้องเลือกใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความต้องการของเว็บไซต์ บางตัวอาจจะเสียค่าใช้จ่าย แต่ก็มีเครื่องมือฟรีที่ใช้งานได้ดี มีอะไรบ้าง

  • Google Analytics: เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยสามารถวัดและวิเคราะห์การใช้งานเว็บไซต์ได้หลากหลายมิติ เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าชม เวลาที่ใช้ในการเข้าชม เป็นต้น
  • Google Search Console: เป็นเครื่องมือจาก Google ที่ช่วยวิเคราะห์การค้นหาคำค้นหาในเว็บไซต์ รวมถึงการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเรื่อง SEO ต่างๆ เช่น การบอก Google ว่าหน้าไหนให้เข้าไปดูและคำที่ควรปรากฏในการค้นหา
  • SEMrush: เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ SEO และการตลาดดิจิทัล โดยมีฟีเจอร์การวิเคราะห์คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ รวมถึงการตรวจสอบ Backlink และอื่นๆ
  • Ahrefs: เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ SEO และการตลาดดิจิทัลที่ช่วยตรวจสอบคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ รวมถึงการวิเคราะห์ Backlink และแนวโน้มการค้นหาต่าง

10. ออกแบบ responsive design

ออกแบบเว็บไซต์ที่สามารถปรับขนาดและรูปแบบให้เหมาะสมกับหลายขนาดหน้าจอและอุปกรณ์ที่ใช้งาน เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนหน้าจอหรือเปิดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

การออกแบบ responsive design สามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Bootstrap, Foundation, หรือ Material Design Lite เพื่อช่วยในการออกแบบเว็บไซต์ที่ responsive ได้อย่างง่ายดาย และควรทดสอบการแสดงผลของเว็บไซต์บนหลายอุปกรณ์เพื่อตรวจสอบว่ามีการแสดงผลได้อย่างเหมาะสม


ท้ายสุด ควรมีแผนการเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินงานต่อไปโดยการวางแผนการเติบโตของเว็บไซต์ เช่นการวางแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ การวางแผนการตลาด และการเพิ่มรายได้จากเว็บไซต์ โดยการวางแผนอย่างรอบคอบและการอัพเดตตลอดเวลาจะช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพ และให้บริการได้ดีต่อผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพสูงขึ้นและเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยกัน

จ้างทำเว็บไซต์ที่ไหนดี

Fastwork.co, Upwork, Freelancer, Freelance Bay, Fiverr Thai Freelance Agency หรือ Matterdevs (รับทำเว็บไซต์ราคากันเอง)

ทำเว็บไซต์บริษัท ธุรกิจ ต้องรู้อะไรบ้าง

1. วัตถุประสงค์ในการสร้างเว็บไซต์
2. งบประมาณ
3. สำรวจตลาดและงานที่คล้ายกัน
4. ค้นหาผู้พัฒนาที่เหมาะสม
5. ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
6. เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์
7. การทำ SEO (Search Engine Optimization)
8. การรักษาและดูแลเว็บไซต์
9. การวัดและวิเคราะห์ผลของเว็บไซต์
10. ออกแบบ responsive design