css framework คืออะไร มีอะไรบ้าง สำหรับ Front-end Developer

css framework

CSS Framework คือ ชุดคำสั่ง CSS และ JavaScript ที่ถูกเขียนไว้ล่วงหน้า มีการออกแบบไว้ให้สามารถนำไปใช้ในการสร้างหน้าเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว จะมีรูปแบบการใช้งานที่คงที่ ทำให้ผู้พัฒนาสามารถลดเวลาในการพัฒนาและช่วยให้เว็บไซต์มีการแสดงผลที่สวยงามและมีการจัดระเบียบที่เหมือนกันในแต่ละหน้าเว็บไซต์

โดยปกติแล้ว Front-end Developer จะใช้ CSS Framework เพื่อช่วยลดเวลาในการพัฒนาและให้ผลลัพธ์ที่สวยงามและมีคุณภาพ โดยมี CSS Framework ที่ได้รับความนิยมสูงๆ ในตอนนี้มีดังนี้

Bootstrap

Bootstrap เป็น CSS framework ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตอนนี้ เป็นโครงสร้าง CSS ที่มีความสามารถในการช่วยลดเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ และช่วยให้เว็บไซต์มีการแสดงผลที่สวยงามและมีการจัดระเบียบที่เหมือนกันในแต่ละหน้าเว็บไซต์ ซึ่ง Bootstrap นั้นได้รับการพัฒนาโดย Twitter และเปิดตัวครั้งแรกในปี 2011

Bootstrap มีการออกแบบให้สามารถใช้งานได้กับหลายขนาดของอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน เช่น Desktop, Tablet และ Mobile โดยใช้งานจะต้องทำการดาวน์โหลดไฟล์ CSS และ JavaScript ของ Bootstrap จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ หรือใช้ CDN (Content Delivery Network) เพื่อเรียกใช้ไฟล์ CSS และ JavaScript ของ Bootstrap ได้โดยตรงผ่านทางอินเทอร์เน็ต

Bootstrap มีการเขียน CSS และ JavaScript ให้เป็นระบบ Grid ที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถจัดระเบียบหน้าเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกและมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้ Bootstrap ยังมี Component หลายรูปแบบที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถเพิ่มฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น Navbar, Button, Modal, Dropdown และอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ Bootstrap เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถพัฒนาเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพสูง

Foundation

Foundation เป็น CSS Framework ที่มีความยืดหยุ่นสูงและได้รับความนิยมสูงในวงการ Front-end Developer โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการรองรับการแสดงผลบนหลาย platform ไม่ว่าจะเป็น Desktop, Tablet หรือ Mobile โดยมีลักษณะเด่นดังนี้

  1. Responsive Grid System – มีระบบ Grid ที่ทำให้การจัดวางหน้าเว็บไซต์สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยสามารถแสดงผลได้ดีทั้งบน Desktop และ Mobile
  2. UI Components – มี Component ที่เขียนโดยใช้ CSS และ JavaScript มากมายที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้าง UI ได้อย่างสวยงามและรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น Button, Form, Navigation, และ Modal ฯลฯ
  3. Accessibility – ใช้ HTML5 และ CSS3 เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่มีการใช้งานง่ายและเข้าถึงได้ง่าย โดยมีความสามารถในการปรับแต่งให้เป็น Accessible สำหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษ คนที่มีความบกพร่องทางสายตา เสียง ร่างกายและสติปัญญา การพัฒนา Foundation Accessibility สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนการเขียนโค้ด การให้ข้อความเพิ่มเติมสำหรับภาพ การเพิ่มคำบรรยายและการบันทึกเสียงสำหรับเนื้อหาเสียงและวิดีโอ การใช้ตัวเลือกที่ดีของ HTML เพื่อออกแบบส่วนต่าง ๆ และการออกแบบเพื่อให้เข้าถึงได้ผ่านคีย์บอร์ด นอกจากนี้ยังสามารถนำผู้ที่มีความบกพร่องมาทดสอบการใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันสามารถนำไปใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ
  4. Customizable – มีทีมงาน Foundation ที่พัฒนา Framework อยู่ตลอดเวลา และยังมีการเปิดเผย API สำหรับผู้พัฒนาที่ต้องการแก้ไขหรือปรับแต่ง Framework ตามความต้องการของโปรเจกต์

ดังนั้น Foundation เป็น CSS Framework ที่ได้รับความนิยมสูงและเหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการรองรับการแสดงผลบนหลาย platform และมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามความต้องการของโปรเจกต์

Bulma

Bulma คือ CSS Framework ที่ใช้สำหรับการออกแบบหน้าเว็บไซต์ (front-end development) โดยมีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับผู้พัฒนาที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่เป็น Responsive Design และใช้งานง่ายด้วยการใช้งานชื่อคลาส (class names) ที่อ่านง่าย และมีความเข้ากันได้สูงกับภาษา HTML และ JavaScript โดยสามารถนำไปใช้กับโปรเจกต์ต่างๆ ได้โดยง่าย

Bulma มีลักษณะการออกแบบแบบ Mobile-First ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์จะเริ่มต้นจากหน้าจอขนาดเล็ก (mobile) ก่อน แล้วค่อยขยับขนาดและปรับแต่งเพื่อให้เหมาะสมกับหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น โดย Bulma มีคุณสมบัติหลักๆ ดังนี้

  1. Flexbox-based Grid System – มีระบบ Grid ที่ใช้ Flexbox Layout ช่วยให้การจัดวางหน้าเว็บไซต์สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยสามารถแสดงผลได้ดีทั้งบน Desktop และ Mobile
  2. Modular and Reusable Components – มี Component ที่ถูกแยกแยะออกจากกันอย่างชัดเจนและสามารถใช้ซ้ำได้ โดยสามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้ง่าย และมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
  3. Responsive Design – ออกแบบโดยมีการใช้งาน Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลได้เหมาะสมกับหลายขนาดหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็น Desktop, Tablet หรือ Mobile
  4. Lightweight – มีขนาดไฟล์เล็กและใช้งานง่าย ไม่มีการติดตั้งโปรแกรมเสริมเพิ่มเติมที่จำเป็นในการใช้งาน
  5. Easy to Customize – มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับแต่งและเข้ากันได้กับส่วนอื่นของโปรเจกต์

ดังนั้น Bulma เป็น CSS Framework ที่เหมาะสำหรับผู้พัฒนาที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและมีส่วนควบคุมในการแก้ไขหรือปรับแต่งเพิ่มเติมได้ตามต้องการของโปรเจกต์

Semantic UI

Semantic UI เป็น CSS Framework ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การสร้างหน้าเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นเป็นเรื่องง่าย โดยมีการออกแบบเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานและปรับแต่งให้เหมาะสมกับโปรเจกต์ต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุผลที่มีผู้พัฒนาที่ใช้งาน Semantic UI เป็นจำนวนมาก

คุณสมบัติหลักของ Semantic UI มีดังนี้

  1. Semantic Naming – ชื่อคลาสใน Semantic UI ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีความหมายเหมือนกับสิ่งที่ต้องการแสดงผล จึงทำให้เข้าใจง่ายและสามารถใช้งานได้ง่าย
  2. Responsive Design – ออกแบบโดยมีการใช้งาน Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลได้เหมาะสมกับหลายขนาดหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็น Desktop, Tablet หรือ Mobile
  3. Modular and Reusable Components – มี Component ที่ถูกแยกแยะออกจากกันอย่างชัดเจนและสามารถใช้ซ้ำได้ โดยสามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้ง่าย และมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
  4. Large Community – มีชุมชนที่ใหญ่และคอยพัฒนา Semantic UI อยู่เสมอ จึงมีการอัปเดตและแก้ไขปัญหาอยู่เสมอ
  5. Easy to Customize – มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับแต่งและเข้ากันได้กับส่วนอื่นของโปรเจกต์

ดังนั้น Semantic UI เป็น CSS Framework ที่เหมาะสำหรับผู้พัฒนาที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและมีส่วนควบคุมในการแก้ไขหรือปรับแต่งเพิ่มเติมได้ตามต้องการของโปรเจกต์

Materialize

Materialize เป็น CSS Framework ที่ออกแบบโดย Google เพื่อช่วยให้การสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้มีลักษณะ Material Design โดย Material Design เป็นกลไกการออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีพื้นฐานของ Material โดยจะมีลักษณะที่สวยงาม และเน้นการแสดงผลให้เป็นเรื่องง่าย โดยสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้งานทุกระดับ

คุณสมบัติหลักของ Materialize มีดังนี้

  1. Material Design – ออกแบบโดยใช้ Material Design จาก Google ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์และแอพพลิเคชันที่มีลักษณะดีไซน์แบบ Material Design ได้ง่ายและรวดเร็ว
  2. Responsive Design – ออกแบบโดยมีการใช้งาน Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลได้เหมาะสมกับหลายขนาดหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็น Desktop, Tablet หรือ Mobile
  3. Easy to Use – มี Component ที่สามารถใช้งานได้ง่าย ไม่ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ดเท่าไหร่ก็สามารถใช้งานได้ง่าย
  4. Large Community – มีชุมชนที่ใหญ่และคอยพัฒนา Materialize อยู่เสมอ จึงมีการอัปเดตและแก้ไขปัญหาอยู่เสมอ
  5. Customizable – สามารถปรับแต่งดีไซน์ได้ตามต้องการ

ดังนั้น Materialize เป็น CSS Framework ที่เหมาะสำหรับผู้พัฒนาที่ต้องการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่มีลักษณะดีไซน์แบบ Material Design

สรุป

ในการสรุป CSS Framework ทั้ง 5 ตัวนั้น จะมีลักษณะแตกต่างกันไปในด้านต่างๆ โดยสามารถสรุปคุณสมบัติที่สำคัญได้ดังนี้:

  1. Bootstrap: มี Component และ Utility Class ที่ใช้งานได้หลากหลาย รองรับ Responsive Design และมีความสามารถในการปรับแต่งดีไซน์ได้ดี มีความนิยมอย่างแพร่หลายในโลกการพัฒนาเว็บไซต์
  2. Foundation: มี Component และ Utility Class ที่ใช้งานได้หลากหลายมาก รองรับ Responsive Design และมีความสามารถในการปรับแต่งดีไซน์ได้เยอะมาก มีความยอดนิยมในวงการพัฒนาเว็บไซต์และมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย
  3. Bulma: มีลักษณะเรียบง่ายและสมบูรณ์ มี Component และ Utility Class ที่ใช้งานได้ง่าย รองรับ Responsive Design และมีความสามารถในการปรับแต่งธีม
  4. Semantic UI: มีลักษณะที่เน้น Semantic HTML มี Component และ Utility Class ที่ใช้งานได้หลากหลาย มีความนิยมในวงการพัฒนาเว็บไซต์ในบางช่วง
  5. Materialize: มีลักษณะเน้น Material Design ที่มีลักษณะง่ายและสวยงาม มี Component และ Utility Class ที่ใช้งานได้ง่าย รองรับ Responsive Design และมีความสามารถในการออกแบบด้วย Material Design

ในท้ายที่สุด การเปรียบเทียบ CSS Framework แต่ละตัวนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและสไตล์ของโปรเจกต์ของผู้พัฒนา ดังนั้นจึงไม่มี CSS Framework ตัวไหนที่เป็นตัวเดียวที่เหมาะสมกับทุกโปรเจกต์ และในบางกรณีอาจจะเลือกใช้ CSS Framework มากกว่า 1 ตัวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการ